วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

มอส

                     


มอสส์เป็นพืชขนาดเล็ก, นุ่มสูงประมาณ 1–10 เซนติเมตร (0.4-4 นิ้ว) แต่อาจมีบางชนิดที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ปกติจะเจริญเติบโตในหมู่ต้นไม้หรือบริเวณที่เปียกชื้นใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ไม่มีดอกและเมล็ด โดยทั่วไปใบที่ปกคลุมลำต้นจะบางเล็กคล้ายลวด มอสส์แพร่พันธุ์ด้วยสปอร์ ซึ่งสร้างขึ้นที่จะงอยปลายก้านเล็กๆ คล้ายแคปซูล
มอสส์มีประมาณ 12,000 สปีชีส์และถูกจัดอยู่ในส่วนไบรโอไฟตา[1] ใน ไบรโอไฟตา นั้นปกติไม่ได้มีแค่มอสส์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงลิเวอร์เวิร์ตและฮอร์นเวิร์ตด้วย แล้วยังมีไบรโอไฟต์อีก 2 กลุ่มที่มักถูกจัดอยู่ในส่วนเดียวกัน

ในทางพฤกษศาสตร์ มอสส์เป็นพืชจำพวกมอสหรือพืชไม่มีท่อลำเลียง มีลักษณะแตกต่างจากลิเวอร์เวิร์ตที่คล้ายคลึงกับมันคือส่วนคล้ายรากมีหลายเซลล์ นอกจากนี้"ลำต้น"และ"ใบ"ยังแสดงถึงความแตกต่างได้ ถ้าใบไม่เป็นแฉกลึกหรือเป็นข้อบ่งบอกถึงพืชชนิดนี้เป็นมอสส์ ส่วนความแตกต่างอื่นๆนั้นไม่สามารถแยกมอสส์และลิเวอร์เวิร์ตออกจากกันได้
มอสส์เป็นพืชที่ไม่มีท่อลำเลียงทำให้ส่วนเพิ่มเติมขึ้นมานั่นคือมีแกมีโทไฟต์ที่เด่นชัดในวงจรชีวิต คือเซลล์ของพืชมีโครโมโซมหนึ่งชุด( haploid ) ส่วนสปอโรไฟต์(คือมีโครโมโซมสองชุด( diploid ))มีชีวิตที่สั้นกว่าและขึ้นกับแกมีโทไฟต์ ถ้าจะเปรียบกับพืชชั้นสูงก็คือ ในพืชมีเมล็ด,โครโมโซมหนึ่งชุดที่ใช้สืบพันธุ์ก็คือเกสรและออวุล ขณะที่โครโมโซมสองชุดเป็นพืชดอกทั้งต้น

พืชส่วนมากมีดิพลอยด์(โครโมโซมสองชุด)ในเซลล์ของพวกมัน( โครโมโซมหนึ่งชุดที่อยู่คู่กันนั้นบรรจุข้อมูลพันธุ์กรรมที่เหมือนกัน ) ขณะที่มอสส์(และไบรโอไฟต์อื่นๆ)มีโครโมโซมหนึ่งชุด( คือโครโมโซมหนึ่งชุดในสำเนาหนึ่งเดียวภายในเซลล์ ) เมื่อระยะในวงจรชีวิตของมอสส์เมื่อมันสมบูรณ์จะมีการจับคู่กันของโครโมโซมแต่เกิดแค่ในขั้นสปอโรไฟต์
วงจรชีวิตของมอสส์เป็นแบบสลับ(alternation of generation) เริ่มจากสปอร์ที่มีโครโมโซมหนึ่งชุดซึ่งเริ่มงอกเป็นโพรโทนีมาซึ่งเป็นแขนงสีเขียว(แบนและคล้ายกับแทลลัส) นี้เป็นขั้นตอนสั้นๆของวงจรชีวิตมอสส์ จากโพรโทนีมาเจริญมาเป็นแกมีโทฟอร์("ผู้ถือเซลล์สืบพันธุ์")ซึ่งมีส่วนประกอบคล้ายกับลำต้น(caulid), ใบ(phyllid) และราก(rhizoid) จากปลายของลำต้นหรือกิ่งจะพัฒนาเป็นอวัยวะสืบพันธุ์ของมอสส์ อวัยวะเพศเมียหรืออาร์คิโกเนียมถูกปกป้องโดยใบที่พัฒนามาที่ชื่อว่า perichaetum อาร์คิโกเนียมจะมีคอที่เรียกว่ากระเปาะอาร์คิโกเนียม(venter)ที่มีไข่อยู่ในนั้น อวัยวะเพศผู้หรือแอนเทอริเดียมถูกล้อมรอบโดยใบที่พัฒนามาที่เรียกว่า perigonium ที่สร้างสเปิร์มที่มีแฟลเจลลาว่ายน้ำได้
มอสส์อาจจะสร้างอวัยวะสืบพันธุ์แยกกัน(เหมือนดอกแยกเพศอยู่ต่างต้นในพืชมีเมล็ด) หรืออยู่ด้วยกัน(เหมือนดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น) ในมอสส์ที่สร้างอวัยวะสืบพันธุ์แยกกันอวัยวะเพศผู้และเมียจะอยู่บนพืชแกมีโทไฟต์ที่ต่างกัน ในมอสส์อวัยวะสืบพันธุ์อยู่ด้วยกัน(หรือที่เรียกว่ามีช่อดอกเพศผู้และเพศเมียร่วมต้น)จะมีอวัยวะเพศผู้และเมียบนต้นเดียวกัน สเปิร์มจากแอนเทอริเดียมจะว่ายไปสู่อาร์คิโกเนียมและการปฏิสนธิจะเกิดขึ้น ได้เป็นไซโกต ต่อมาเจริญเป็นเอ็มบริโอ แล้วนำไปสู่สปอโรไฟต์ที่มีโครโมโซมสองชุด สเปิร์มของมอสส์มีสองแส้เซลล์คือมีสองแฟลเจลใช้ในการเคลื่อนที่ ตั้งแต่สเปิร์มว่ายสู่อาร์คิโกเนียมการปฏิสนธิจะไม่เกิดขึ้นได้ถ้าไม่มีน้ำ หลังการปฏิสนธิ,สปอโรไฟต์ที่ยังไม่สุกจะถูกดันออกจากกระเปาะอาร์คิโกเนียม มันอาจใช้เวลา ¼ ถึงครึ่งปีสำหรับสปอโรไฟต์จะเจริญเติบโตเต็มที่ สปอโรไฟต์ประกอบไปด้วยส่วนที่ยึดติดกับแกมีโทไฟต์ที่เรียกว่าฟุต, ก้านชูอัปสปอร์ที่เรียกว่า seta, และอับสปอร์โดยหมวกของมันเรียกว่าฝาปิด(operculum) อับสปอร์และฝาปิดอยู่ในฝักบิดโดยหมวกโครโมโซมหนึ่งชุดซึ่งเป็นส่วนที่เหลือของกระเปาะอาร์คิโกเนียม หมวกจะหลุดออกเมื่ออับสปอร์สุก ปากของอัปสปอร์มีรูปฟันเป็นรูปแหวนที่เรียกว่าเพอริสโตม ในอับสปอร์,เซลล์สปอร์ที่สร้างขึ้นโดยการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสลดจำนวนโครโมโซมลงครึ่งหนึ่งกลายเป็นสปอร์โครโมโซมหนึ่งชุด และเมื่อสปอร์แกและอัปสปอร์แตกออก สปอร์กระจายออกและเริ่มต้นวงจรชีวิตอีกครั้ง
ในมอสส์บางชนิด โครงสร้างของพืชสีเขียวที่เรียกว่าหน่อ( gemmae ) ที่สร้างจากใบหรือกิ่งจะเจริญไปเป็นต้นใหม่โดยไม่ต้องการการปฏิสนธิ เป็นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ

มอสส์ส่วนมากพบในพื้นที่ชื้นและได้รับแสงน้อย โดยปกติจะพบในป่าและริมแหล่งน้ำลำธาร และสามารถพบได้ตามอิฐหินในถนนที่เปียกชื้นในเมือง บางชนิดเหมาะกับสภาวะอย่างกำแพงเฉพาะในเมือง อีก 2-3 ชนิดอยู่ในน้ำเช่น Fontinalis antipyretica และ Sphagnum ที่อาศัยอยู่ในโคลนตม, หนองบึงและในทางน้ำที่ไหลช้า อย่างมอสส์น้ำหรือกึ่งน้ำสามารถยาวเกินกว่าความยาวปกติของมอสส์บก บางชนิดยาว 20–30 ซม. (8-12 นิ้ว) หรือยาวกว่าปกติใน Sphagnum มอสส์เป็นต้น
มอสส์ต้องการความชื้นเพื่อความมีชีวิตรอดเพราะขนาดที่เล็กและเนื้อเยื่อที่ผอมบางของมัน ด้วยความที่ไม่มีผิวเคลือบคิวทิน(ขี้ผึ้งที่เคลือบเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ) และต้องการของเหลวเพื่อการสืบพันธุ์ มอสส์บางชนิดสามารถมีชีวิตรอดจากความแห้งแล้งและสามารถกลับคืนมีชีวิตในไม่กี่ชั่วโมงเมื่อได้รับน้ำ
ในทางเหนือละติจูด ด้านเหนือของต้นไม้และหินจะเกิดมอสส์มากกว่าบริเวณอื่น สันนิษฐานว่าไม่มีน้ำพอเพียงสำหรับเจริญเติบโตบนต้นไม้ด้านที่แสงแดดส่อง ใต้เส้นศูนย์สูตรจะตรงข้ามกัน ในป่าลึกที่แสงอาทิตย์ไม่สามารถลอดผ่านได้ มอสส์จะเจริญเติบโตเท่ากันทุกด้านของต้นไม้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น