| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
:: ลักษณะภูมิประเทศ :: | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
:: ลักษณะภูมิอากาศ :: | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
:: พรรณไม้และสัตว์ป่า :: | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
:: ที่ตั้งและการเดินทาง :: | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
:: แหล่งท่องเที่ยว : ด้านธรรมชาติที่สวยงาม :: | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
:: แหล่งท่องเที่ยว :: ด้านประวัติศาสตร์ :: | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
:: แหล่งท่องเที่ยว :: ด้านท่องเที่ยวผจญภัย :: | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ที่เที่ยวอ.ปากช่อง
ผ้าไหม
ผ้าไหม
บ้านสายโท11เหนือ ตำบลสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย ทอจากเส้นไหมซึ่งเป็นใยธรรมชาติที่แข็งแรงที่สุด มีความมันวาว ดูแล้วสวยงามแตกต่างจากผ้าที่ทอด้วยเส้นใยชนิดอื่น และเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งของประเทศไทย และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบันเพราะ ประเทศไทยส่งออกผ้าไหมมูลค่าปีละประมาณ 500 ล้านบาท (ตารางที่ 4) ซึ่งคิดเป็น 40 % ของปริมาณผ้าไหมที่ผลิตส่วนอีก 60% ของผ้าไหมไทยจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยว และบุคคลทั่วไปในประเทศ ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวม 8000 -1,000 ล้านบาท จากการสำรวจพบว่ามีโรงงานทอผ้าไหมขนาดใหญ่และขนาดเล็กจำนวนประมาณ 70โรง และมีจำนวนร้านค้าผ้าไหมภายในประเทศมากกว่า 500แห่งการผลิตผ้าไหมไทยเป็นการแสดงออกถึงศิลปพื้นบ้านเอกลักษณ์ของท้องถิ่นซึ่งทำให้ผ้าไหมที่ทอในแต่ละภูมิภาคจะมีเอกลักษณะเฉพาะของตนเองทำให้ผ้าไหมไทยมีความหลากหลายในตัวเอง ทั้งทางด้านกรรมวิธีการทอลวดลายและรูปแบบของผ้าซึ่งเอกลักษณ์ต่างๆ เหล่านี้ สามารถใช้เป็นตัวกำหนดถึงแหล่งของการผลิตได้ มีการดัดแปลงทำเป็นสินค้าแบบอื่นอีกด้วย เช่นการทำกระเป๋า ทำหมวก เข็มขัด ตุ๊กตา ฯลฯ เป็นแหล่งให้ข้อมูล ความรู้ แก่คนทั่วไปอีกด้วย
ศิลปะสมัยใหม่ของไทย
เมื่อปี พ.ศ. 2546 มีข่าวกรอบเล็กๆ รายงานเกี่ยวกับสถานการณ์เรื่องการท่องเที่ยว และการจัดอันดับของนิตยสาร Travel and Leisure ปรากฏว่าประเทศไทยได้รับการจัดให้เป็นหนึ่งในประเทศที่น่ามาเยือนมากที่สุดในโลก นับเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจในฐานะเจ้าของประเทศ แต่ข้อมูลย่อยอีกอย่างที่ใครหลายคนไม่รู้คือ ห้ากิจกรรมที่บรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลายต้องไม่พลาดยามแวะเวียนมากรุงเทพฯ หนึ่งในกิจกรรมเหล่านั้นคือการไปเยือนแกเลอรี่ศิลปะ กิจกรรมทางสังคมที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นแดนสนธยาสำหรับเจ้าของประเทศอย่างเรา แต่ไม่ใช่กับหนุ่มใหญ่ชาวอเมริกันที่ชื่อ Ernest Lee
Ernest Lee คือชายหนุ่มวัยสี่สิบห้าปีที่หลงใหลในงานศิลปะของตะวันออกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานศิลปะร่วมสมัย และศิลปะสมัยใหม่ของไทย ความชื่นชอบ และการเห็นคุณค่าของงานศิลปะแบบไทยประยุกต์นี่เองที่ผลักดันให้ “H Gallery” ของเขาเติบใหญ่ มีชื่อเสียงจนกลายมาเป็นแกลเลอรี่ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดหากมีโอกาสแวะมาเที่ยวที่เมืองไทยตามการจัดอันดับของนิตยสารที่ว่าในเบื้องต้น
“ ผมเลือกมาเอเชียเพราะว่าชอบบรรยากาศ และงานศิลปะที่นี่ กอปรกับผมเองกำลังหาลู่ทางเข้ามาสู่แวดวงศิลปะ คิดจะนำงานส่งออกกลับไปที่อเมริกาและที่อื่น ไปมาหลายที่เหมือนกัน แต่ที่เลือกประเทศไทยเพราะพื้นฐานงานศิลป์ของไทยดีอยู่แล้ว เพียงแต่ขาดรูปแบบการนำเสนอ และแรงสนับสนุนที่ดีเท่านั้น ”
หลายคนซึ่งในที่นี้รวมถึงตัวผมเองด้วย เข้าใจมาโดยตลอดว่า การสังวาสกันของงานศิลปะกับกิจกรรมทางธุรกิจนั้นเป็นสองเขตแดนที่ไม่น่าจะมาบรรจบกันอย่างแน่นแฟ้น คงต้องมีนัยซ่อนเร้นบางประการเคลือบอยู่เป็นแน่ อย่างไรก็ดีการมองโลกจากจุดยืนที่ปราศจากประสบการณ์ตรงนั้นก็ดูจะหยามหมิ่นเจตน์จำนงของคนอื่นมากจนเกินไป
“ งานนี้จริงๆ ก็เป็นเรื่องของธุรกิจ คือการลงทุนเพื่อแสวงหากำไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่านี่คืองานที่ทำไปเพื่อสนองตอบความต้องการทางส่วนตัวเพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจ ตลาดศิลปะจริงๆ ไม่ได้ใหญ่โต หรือว่าสร้างกำไรมหาศาล หากว่าผมทำเพื่อหวังกอบโกย สู้ผมไปทำงานทางด้าน อสังหาริมทรัพย์ หรือลงทุนในตลาดเงินไม่ดีกว่าเหรอ ผมรักงานศิลปะมากแต่ไม่มีพรสรรค์ สิ่งเดียวที่ทำได้คือ ช่วยสนับสนุนงานแต่ละชิ้นของศิลปินให้มีการยอมรับ และประสบความสำเร็จมากขึ้น ”
อย่างไรก็ดี ในช่วงของการเริ่มต้นการทำงานของคุณ Enest นั้นก็ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ตัวเขาเองคิด เนื่องจากระบบ กลไกในการทำงานของตัวแกเลอรี่เองในเมืองไทยแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับแกเลอรี่ประเทศโลกตะวันตก
“ ในต่างประเทศการทำงานจะมีระบบที่ชัดเจน คือศิลปินกับแกลเลอรี่จะทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องยาวนาน ซึ่งต่างจากเมืองไทย ที่นี่หากว่ามีการติดต่อศิลปินเข้ามาทางไหน เขาจะไปหมดแทบทุกที่ ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหา แต่จะดีกว่าหากศิลปินหาแกลเลอรี่ที่มีวิธีคิดแบบเดียวกัน แกเลอรี่สามารถดูแลตัวศิลปินได้ แล้วก็ค่อยๆเติบโตไปข้างหน้าด้วยกัน นั่นคือระบบที่เขาทำกันทางฝั่งตะวันตก อย่างตอนนี้ผมก็พยายามสร้างระบบที่ว่าอยู่ ก็มีศิลปินที่แสดงงานกับแกเลอรี่ผมไปประสบความสำเร็จที่นิวยอร์ก ผมก็บอกว่า ดูสิแต่ก่อนเรายังไม่เป็นที่รู้จักของใครเลย แล้วดูเดี๋ยวนี้สิ ผมว่านั่นเป็นสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น ”
แต่เนื่องจากบ้านเราไม่เคยมีระบบแบบนี้มาก่อนจึงใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจภาพรวมของการบริหารและจัดการงานศิลปะภายใต้ระบบใหม่อย่างถ้วนทั่ว
“ ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าไม่มีการเก็บเงินจากศิลปินที่มาแสดงงานกับผม ฉะนั้นงานไหนขายงานไม่ได้ ก็หมายถึง ทั้งผมและตัวศิลปินเองไม่ได้เงิน แต่ในความจริง การจัดแสดงงานศิลปะครั้งหนึ่งมีค่าใช้จ่ายมากมาย ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ เรื่องการขนส่งงาน การเปิดตัวงานแสดง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่เจ้าของแกเลอรี่ทั้งหมด ”
Ernest Lee คือชายหนุ่มวัยสี่สิบห้าปีที่หลงใหลในงานศิลปะของตะวันออกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานศิลปะร่วมสมัย และศิลปะสมัยใหม่ของไทย ความชื่นชอบ และการเห็นคุณค่าของงานศิลปะแบบไทยประยุกต์นี่เองที่ผลักดันให้ “H Gallery” ของเขาเติบใหญ่ มีชื่อเสียงจนกลายมาเป็นแกลเลอรี่ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดหากมีโอกาสแวะมาเที่ยวที่เมืองไทยตามการจัดอันดับของนิตยสารที่ว่าในเบื้องต้น
“ ผมเลือกมาเอเชียเพราะว่าชอบบรรยากาศ และงานศิลปะที่นี่ กอปรกับผมเองกำลังหาลู่ทางเข้ามาสู่แวดวงศิลปะ คิดจะนำงานส่งออกกลับไปที่อเมริกาและที่อื่น ไปมาหลายที่เหมือนกัน แต่ที่เลือกประเทศไทยเพราะพื้นฐานงานศิลป์ของไทยดีอยู่แล้ว เพียงแต่ขาดรูปแบบการนำเสนอ และแรงสนับสนุนที่ดีเท่านั้น ”
หลายคนซึ่งในที่นี้รวมถึงตัวผมเองด้วย เข้าใจมาโดยตลอดว่า การสังวาสกันของงานศิลปะกับกิจกรรมทางธุรกิจนั้นเป็นสองเขตแดนที่ไม่น่าจะมาบรรจบกันอย่างแน่นแฟ้น คงต้องมีนัยซ่อนเร้นบางประการเคลือบอยู่เป็นแน่ อย่างไรก็ดีการมองโลกจากจุดยืนที่ปราศจากประสบการณ์ตรงนั้นก็ดูจะหยามหมิ่นเจตน์จำนงของคนอื่นมากจนเกินไป
“ งานนี้จริงๆ ก็เป็นเรื่องของธุรกิจ คือการลงทุนเพื่อแสวงหากำไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่านี่คืองานที่ทำไปเพื่อสนองตอบความต้องการทางส่วนตัวเพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจ ตลาดศิลปะจริงๆ ไม่ได้ใหญ่โต หรือว่าสร้างกำไรมหาศาล หากว่าผมทำเพื่อหวังกอบโกย สู้ผมไปทำงานทางด้าน อสังหาริมทรัพย์ หรือลงทุนในตลาดเงินไม่ดีกว่าเหรอ ผมรักงานศิลปะมากแต่ไม่มีพรสรรค์ สิ่งเดียวที่ทำได้คือ ช่วยสนับสนุนงานแต่ละชิ้นของศิลปินให้มีการยอมรับ และประสบความสำเร็จมากขึ้น ”
อย่างไรก็ดี ในช่วงของการเริ่มต้นการทำงานของคุณ Enest นั้นก็ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ตัวเขาเองคิด เนื่องจากระบบ กลไกในการทำงานของตัวแกเลอรี่เองในเมืองไทยแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับแกเลอรี่ประเทศโลกตะวันตก
“ ในต่างประเทศการทำงานจะมีระบบที่ชัดเจน คือศิลปินกับแกลเลอรี่จะทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องยาวนาน ซึ่งต่างจากเมืองไทย ที่นี่หากว่ามีการติดต่อศิลปินเข้ามาทางไหน เขาจะไปหมดแทบทุกที่ ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหา แต่จะดีกว่าหากศิลปินหาแกลเลอรี่ที่มีวิธีคิดแบบเดียวกัน แกเลอรี่สามารถดูแลตัวศิลปินได้ แล้วก็ค่อยๆเติบโตไปข้างหน้าด้วยกัน นั่นคือระบบที่เขาทำกันทางฝั่งตะวันตก อย่างตอนนี้ผมก็พยายามสร้างระบบที่ว่าอยู่ ก็มีศิลปินที่แสดงงานกับแกเลอรี่ผมไปประสบความสำเร็จที่นิวยอร์ก ผมก็บอกว่า ดูสิแต่ก่อนเรายังไม่เป็นที่รู้จักของใครเลย แล้วดูเดี๋ยวนี้สิ ผมว่านั่นเป็นสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น ”
แต่เนื่องจากบ้านเราไม่เคยมีระบบแบบนี้มาก่อนจึงใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจภาพรวมของการบริหารและจัดการงานศิลปะภายใต้ระบบใหม่อย่างถ้วนทั่ว
“ ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าไม่มีการเก็บเงินจากศิลปินที่มาแสดงงานกับผม ฉะนั้นงานไหนขายงานไม่ได้ ก็หมายถึง ทั้งผมและตัวศิลปินเองไม่ได้เงิน แต่ในความจริง การจัดแสดงงานศิลปะครั้งหนึ่งมีค่าใช้จ่ายมากมาย ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ เรื่องการขนส่งงาน การเปิดตัวงานแสดง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่เจ้าของแกเลอรี่ทั้งหมด ”
วรรณของสี
ทฤษฎีสี
3. การหาค่าสีเดียว คือการนำเอาสีใดสีหนึ่ง มาหาค่าต่างกันให้เป็นขั้นหลายสเต็ป
ในที่นี้จะแสดงหาค่าต่างให้ เกิดขึ้นเพียง 5 ขั้น ต่อสี 1 สี วิธีการ ถ้าเป็นสีน้ำ
ก็ใช้น้ำผสมลดค่าสีให้อ่อนลง ทีละขั้น จากแก่มาอ่อน ถ้าเป็นสีโปสเตอร์
ก็ใช้สีขาวมาผสมกัน
4. สีเอกรงค์ คือ สีที่แสดงเด่นออกมาเพียงสีเดียว แต่ที่จริงแล้วสี
ทั้งสองชนิดมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป สีส่วนรวมนั้นสีที่ใช้อาจเป็นสีสด
หรือสีที่ลดค่าลงไปแล้ว แต่สีเอกรงค์ต้องใช้สีใดสีหนึ่งเป็นสีสดยืนพื้นเพียง
สีเดียว แล้วลดค่า น้ำหนักอ่อนแก่ ในระยะต่างๆ
หลักในการใช้ เมื่อวางสีที่ต้องการเป็นจุดเด่นของภาพแล้ว สีที่เป็น
ส่วนประกอบรอบๆ ทุกสี จะต้องลดความสดใสลง อาจจะใช้ได้ 3 - 6 สี
ซึ่งเรียงกันในวงจรสี วรรณะเดียวกัน
5. การฆ่าสี คือการเปลี่ยนแปลงค่าของสีให้เป็นลักษณะหนึ่ง
หยุดความสดใสของสี คล้ายกับการหาค่าของสี แต่แตกต่างที่
ใช้สี 2 สี มาค่ารวมกัน
6. สีตรงกันข้ามหรือสีตัดกัน ในวงจรสีธรรมชาตินั่นเอง
เมื่อเราอยากรู้ว่าสี 2 สี เป็นคู่กันหรือเปล่าให้เอามาผสมกันกันดู
ถ้าผลลัพธ์เป็นสีกลาง ก็แสดงว่าเป็นสีตรงกันข้ามหรือสีตัดกัน
วิธีการใช้สีตรงกันข้าม หรือ สีตัดกันมีดังนี้
1. ปริมาณของสีที่ตัดกันกับวรรณะของสีทั้งหมดในภาพต้องอย่าเกิน
10% ของเนื้อที่ในภาพเขียน
2. ในลักษณะการนำไปใช้ ในทางประยุกต์ศิลป์หรือเชิงพานิชควร
ใช้ตามหลักเกณ์ดังนี้
- การใช้สีตรงข้ามหรือสีตัดกัน ต้องใช้สีใดสีหนึ่งจำนวน 80%
อีกฝ่ายหนึ่ง ต้องเป็น 20% จึงจะมีคุณค่าทางศิลปะ
- หากจำเป็นต้องใช้สีคู่ใดคู่หนึ่งปริมาณเท่าๆกัน ควรต้องลดค่าของคู่สีลง
- หากภาพเป็นลายเล็กๆ เช่น ภาพที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใบไม้เล็ก
การใช้สีตัดกันอย่างสดๆ สลับกัน ผลคือจะผสมผสานกันเอง
- หากจำเป็นต้องใช้สีตัดกันในภาพใหญ่ๆหรือพื้นที่ภาพมากๆและสีคู่นั้น
ติดกัน ควรใช้เส้นดำมาคั่นหรือตัดเส้นด้วยสีดำ เพื่อลดความรุนแรง
ของภาพ และคู่สีได้ดังตัวอย่าง
7. สีใกล้เคียง คือ เกิดจากแนวสี 3 ด้าน ของวงจรสี
โดยมีแม่สีเป็นหลัก มีทั้งหมด 4 แนวทางด้วยกัน คือ
1. สีใกล้เคียง โดยมีแม่สีเป็นหลักหัวท้าย
2. สีใกล้เคียงที่มีแม่สีเป็นแกนกลาง และมีการเพิ่ม
ออกไป 2 ข้าง
3. สีใกล้เคียงเว้นสเต็ป
4. สีใกล้เคียงที่มีแม่สีเป็นแกนกลาง โดยมีสีใก้เคียง
เว้นสเต็ปเพิ่มออกไปทั้ง 2 ข้าง
1. วงจรสี
2. วรรณะของสี คือ สีที่ให้ความรู้สึก ร้อน เย็น ดังนั้นเราสามารถ
แยกสีออกเป็น 2 วรรณะ
2.1 วรรณะสีอุ่น คือสีที่ให้ความรู้สึกร้อน การต่อสู้ ดิ้นรน ความมีชีวิต
ความรุ่งโรจน์ โอ่อ่า ความรัก ความรุนแรง เวลากลางวัน ได้แก่ซึ่ง จะเป็น ส่วนของ สีแดง ส้ม เหลือง น้ำตาล เป็นต้น
2.2 วรรณะสีเย็น คือสีที่ให้ความรู้สึกสงบ สดชื่น สันติ ความเยือกเย็น
ความคิดฝัน เวลากลางคืน ได้แก่ ซึ่งจะเป็นส่วนของสี น้ำเงิน เขียว ฟ้า เป็นต้น
2. วรรณะของสี คือ สีที่ให้ความรู้สึก ร้อน เย็น ดังนั้นเราสามารถ
แยกสีออกเป็น 2 วรรณะ
2.1 วรรณะสีอุ่น คือสีที่ให้ความรู้สึกร้อน การต่อสู้ ดิ้นรน ความมีชีวิต
ความรุ่งโรจน์ โอ่อ่า ความรัก ความรุนแรง เวลากลางวัน ได้แก่ซึ่ง จะเป็น ส่วนของ สีแดง ส้ม เหลือง น้ำตาล เป็นต้น
2.2 วรรณะสีเย็น คือสีที่ให้ความรู้สึกสงบ สดชื่น สันติ ความเยือกเย็น
ความคิดฝัน เวลากลางคืน ได้แก่ ซึ่งจะเป็นส่วนของสี น้ำเงิน เขียว ฟ้า เป็นต้น
3. การหาค่าสีเดียว คือการนำเอาสีใดสีหนึ่ง มาหาค่าต่างกันให้เป็นขั้นหลายสเต็ป
ในที่นี้จะแสดงหาค่าต่างให้ เกิดขึ้นเพียง 5 ขั้น ต่อสี 1 สี วิธีการ ถ้าเป็นสีน้ำ
ก็ใช้น้ำผสมลดค่าสีให้อ่อนลง ทีละขั้น จากแก่มาอ่อน ถ้าเป็นสีโปสเตอร์
ก็ใช้สีขาวมาผสมกัน
4. สีเอกรงค์ คือ สีที่แสดงเด่นออกมาเพียงสีเดียว แต่ที่จริงแล้วสี
ทั้งสองชนิดมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป สีส่วนรวมนั้นสีที่ใช้อาจเป็นสีสด
หรือสีที่ลดค่าลงไปแล้ว แต่สีเอกรงค์ต้องใช้สีใดสีหนึ่งเป็นสีสดยืนพื้นเพียง
สีเดียว แล้วลดค่า น้ำหนักอ่อนแก่ ในระยะต่างๆ
หลักในการใช้ เมื่อวางสีที่ต้องการเป็นจุดเด่นของภาพแล้ว สีที่เป็น
ส่วนประกอบรอบๆ ทุกสี จะต้องลดความสดใสลง อาจจะใช้ได้ 3 - 6 สี
ซึ่งเรียงกันในวงจรสี วรรณะเดียวกัน
5. การฆ่าสี คือการเปลี่ยนแปลงค่าของสีให้เป็นลักษณะหนึ่ง
หยุดความสดใสของสี คล้ายกับการหาค่าของสี แต่แตกต่างที่
ใช้สี 2 สี มาค่ารวมกัน
6. สีตรงกันข้ามหรือสีตัดกัน ในวงจรสีธรรมชาตินั่นเอง
เมื่อเราอยากรู้ว่าสี 2 สี เป็นคู่กันหรือเปล่าให้เอามาผสมกันกันดู
ถ้าผลลัพธ์เป็นสีกลาง ก็แสดงว่าเป็นสีตรงกันข้ามหรือสีตัดกัน
วิธีการใช้สีตรงกันข้าม หรือ สีตัดกันมีดังนี้
1. ปริมาณของสีที่ตัดกันกับวรรณะของสีทั้งหมดในภาพต้องอย่าเกิน
10% ของเนื้อที่ในภาพเขียน
2. ในลักษณะการนำไปใช้ ในทางประยุกต์ศิลป์หรือเชิงพานิชควร
ใช้ตามหลักเกณ์ดังนี้
- การใช้สีตรงข้ามหรือสีตัดกัน ต้องใช้สีใดสีหนึ่งจำนวน 80%
อีกฝ่ายหนึ่ง ต้องเป็น 20% จึงจะมีคุณค่าทางศิลปะ
- หากจำเป็นต้องใช้สีคู่ใดคู่หนึ่งปริมาณเท่าๆกัน ควรต้องลดค่าของคู่สีลง
- หากภาพเป็นลายเล็กๆ เช่น ภาพที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใบไม้เล็ก
การใช้สีตัดกันอย่างสดๆ สลับกัน ผลคือจะผสมผสานกันเอง
- หากจำเป็นต้องใช้สีตัดกันในภาพใหญ่ๆหรือพื้นที่ภาพมากๆและสีคู่นั้น
ติดกัน ควรใช้เส้นดำมาคั่นหรือตัดเส้นด้วยสีดำ เพื่อลดความรุนแรง
ของภาพ และคู่สีได้ดังตัวอย่าง
7. สีใกล้เคียง คือ เกิดจากแนวสี 3 ด้าน ของวงจรสี
โดยมีแม่สีเป็นหลัก มีทั้งหมด 4 แนวทางด้วยกัน คือ
1. สีใกล้เคียง โดยมีแม่สีเป็นหลักหัวท้าย
2. สีใกล้เคียงที่มีแม่สีเป็นแกนกลาง และมีการเพิ่ม
ออกไป 2 ข้าง
3. สีใกล้เคียงเว้นสเต็ป
4. สีใกล้เคียงที่มีแม่สีเป็นแกนกลาง โดยมีสีใก้เคียง
เว้นสเต็ปเพิ่มออกไปทั้ง 2 ข้าง
พืชสมุนไพรดับกลิ่นปาก
เคี้ยวพืชสมุนไพร ดื่มน้ำผลไม้ลดกลิ่นปาก
เมื่อเกิดกลิ่นปากแล้วอยากแก้ปัญหาเหล่านั้นเพื่อเรียกคืนลมหายใจหอมสดชื่น เรามีพืชสมุนไพร และเครื่องดื่มขจัดกลิ่นเหม็นจากช่องปาก
เริ่มที่การใช้พืชสมุนไพร อย่าง กานพลู โดยใช้ดอกตูมแห้ง 2-3 ดอก อมไว้ในปากแล้วคายทิ้ง ทั้งยังสามารถนำดอกตูมแห้งบดให้เป็นผง เพื่อนำไปเป็นผงสมุนไพรสำหรับแปรงฟัน หรือจะเป็น ใบฝรั่ง เลือกใบสด 2-3 ใบ เคี้ยวและคายทิ้งหลังมื้ออาหารหรือเมื่อเริ่มรู้สึกว่ามีกลิ่นปาก
ส่วนเครื่องดื่มสกัดจากผลไม้ที่ช่วยแก้ไขปัญหาลมหายใจมีกลิ่นเหม็น แถมยังช่วยแก้กระหายนั้นเป็นการนำสรรพคุณของ แตงโมเหลือง สับปะรด แอปเปิ้ลเขียว
สำหรับ แตงโม นั้น เป็นผลไม้ที่ช่วยชะล้างของเสียได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะของเสียจากไตและกระเพาะปัสสาวะรวมทั้งทางเดินปัสสาวะ บำรุงผิวพรรณ ลดความดันโลหิต แก้ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น
ส่วน สับปะรด สามารถต้านการอักเสบและเพิ่มพลังการย่อยโปรตีน อุดมไปด้วยโบรเมลิน ซึ่งเป็นเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่ช่วยรักษาค่าพีเอชของร่างกายให้สมดุล นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี กรดโฟลิก โพแทสเซียม โซเดียม และแมกนีเซียม
ผลไม้ชนิดสุดท้าย แอปเปิ้ล อุดมไปด้วยโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี1 บี2 และบี6 ช่วยชะล้างสารพิษออกจากตับและไต ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ กรดมาลิก กรดแทนนิก และเส้นใยเพ็กติน ทำความสะอาดกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยเฉพาะน้ำที่สกัดจากแอปเปิ้ล ยังมีสรรพคุณลดไข้ ลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ
การเตรียมส่วนผสมของเครื่องดื่ม ควรเตรียมให้ได้สัดส่วนดังต่อไปนี้...
แตงโมเหลือง 2 ถ้วย
สับปะรด 1 ถ้วย
แอปเปิ้ลเขียว 2 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย
ขั้นตอนการทำเครื่องดื่มแก้วนี้ เริ่มจากนำสับปะรดที่ปอกเปลือกแล้วมาหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดเล็ก จากนั้นนำแตงโมเหลืองหั่นเป็นชิ้น ๆ พอหยาบโดยไม่ต้องเอาเมล็ดออก ส่วนแอปเปิ้ลเขียวให้หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าโดยไม่ต้องเอาแกนออก จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดมาสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ เติมน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นสดชื่น ดื่มได้ทันที
แฟชั่นญี่ปุ่นชุดนักเรียน
สำหรับ ฟุจิโอกะ ชิสุกะ ทูตวัฒนธรรมญี่ปุ่น เป็นที่รู้จักอย่างมากในหมู่เด็กสาวที่นิยมการแต่งเครื่องแบบนักเรียนม.ปลายแบบญี่ปุ่น ในฐานะตัวแทนของแฟชั่นสไตล์นี้ ถูกเรียกว่า Magician of Uniform Coordition และเป็นที่ปรึกษาในด้านแฟชั่นของร้านขายเครื่องแบบนักเรียน (CONOMI) โดยแฟชั่นครั้งนี้ ฟุจิโอกะ ชิสุกะ เน้นการเล่นริบบิ้นที่โบว์และกระโปรง ด้วยความที่ชอบสีชมพูจึงเป็นสีหลักที่ถูกนำมาดีไซน์กับทุกชุด รวมทั้งมีการเล่นสีเพื่อให้สะท้อนบุคลิกต่างๆ กันไปอาทิ เจ็คเก็ตสีน้ำตาลจะทำให้ดูเป็นคุณหนูนิดๆ สีน้ำเงิน ให้ความรู้สึกเท่แบบผู้ชาย ถ้าอยากดูเป็นเด็กที่น่ารักให้เน้นสีฟ้าอ่อน ชมพูอ่อนหรือสีขาว ไม่เพียงเท่านี้สำหรับหนุ่มๆ เองก็มีแฟชั่นมาให้ชมกันเน้นโทนสีชมพูเช่นกัน
ซึ่ง ฟุจิโอกะ ชิสุกะ ทูตวัฒนธรรมญี่ปุ่น เผยว่า
“ จริงๆ แล้วที่ดีไซน์ใช้สีชมพูดเพราะคิดว่าอยากให้ผู้ชายรู้สึกว่าผู้ชายก็สามารถใส่สีชมพูได้ เบรกความหวานด้วยสีขาว รวมทั้งการใส่เสื้อหลวมๆ ที่เป็นแฟชั่นชุดนักศึกษาชายของประเทศไทยก็ทำ ให้ดูเท่ได้เช่นกัน พร้อมฝากถึงทุกคนว่า สิ่งสำคัญของแฟชั่นจะต้องมีสไตล์เฉพาะตัว เหมาะสมกับบุคลิกของแต่ละคน ซึ่งที่ฮาราจุกุมีแฟชั่นหลากหลายแบบ พร้อมเผยความรู้สึกที่ได้มาประเทศไทยว่า รู้สึกประทับใจมากๆ กับการมาประเทศไทยครั้งนี้ซึ่งถือเป็นครั้งแรกด้วย และดีใจที่แฟชั่นชุดนักเรียนญี่ปุ่นได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทยไม่ต่างกันที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะที่ญี่ปุ่นเองแฟชั่นดังกล่าวก็เป็นที่ใฝ่ฝันของนักเรียนทุกคน บางคนที่ศึกษาในสถาบันที่เข้มงวดก็จะเพียงแค่เพิ่มดีไซน์ที่น่ารักทำให้กลายเป็นแฟชั่นขึ้นมา ยอมรับว่าวัยรุ่นไทยมีสไตล์แฟชั่นที่น่ารักมากเช่นกัน ถ้ามีโอกาสก็จะกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีกอย่างแน่นอนคะ
“ จริงๆ แล้วที่ดีไซน์ใช้สีชมพูดเพราะคิดว่าอยากให้ผู้ชายรู้สึกว่าผู้ชายก็สามารถใส่สีชมพูได้ เบรกความหวานด้วยสีขาว รวมทั้งการใส่เสื้อหลวมๆ ที่เป็นแฟชั่นชุดนักศึกษาชายของประเทศไทยก็ทำ ให้ดูเท่ได้เช่นกัน พร้อมฝากถึงทุกคนว่า สิ่งสำคัญของแฟชั่นจะต้องมีสไตล์เฉพาะตัว เหมาะสมกับบุคลิกของแต่ละคน ซึ่งที่ฮาราจุกุมีแฟชั่นหลากหลายแบบ พร้อมเผยความรู้สึกที่ได้มาประเทศไทยว่า รู้สึกประทับใจมากๆ กับการมาประเทศไทยครั้งนี้ซึ่งถือเป็นครั้งแรกด้วย และดีใจที่แฟชั่นชุดนักเรียนญี่ปุ่นได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทยไม่ต่างกันที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะที่ญี่ปุ่นเองแฟชั่นดังกล่าวก็เป็นที่ใฝ่ฝันของนักเรียนทุกคน บางคนที่ศึกษาในสถาบันที่เข้มงวดก็จะเพียงแค่เพิ่มดีไซน์ที่น่ารักทำให้กลายเป็นแฟชั่นขึ้นมา ยอมรับว่าวัยรุ่นไทยมีสไตล์แฟชั่นที่น่ารักมากเช่นกัน ถ้ามีโอกาสก็จะกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีกอย่างแน่นอนคะ
เรโกะ รักษาการบก.นิตยสารคาวาอิเผยถึงแฟชั่นชุดนักเรียนของวัยรุ่นว่า วัยรุ่นไทยรับกระแสแฟชั่นของประเทศญี่ปุ่นทั้งจากภาพยนตร์ เพลง ละคร และการ์ตูน ซึ่งการ์ตูนที่มีชุดนักเรียนนักศึกษาค่อนข้างเยอะ ดีไซน์น่ารักทำให้เกิดเป็นความชอบขึ้นมา สำหรับวัยรุ่นไทยจริงๆ แล้วไม่สามารถแต่งตามแบบแฟชั่นญี่ปุ่นได้จึงเกิดการมิกซ์แอนด์แมกซ์แทน ทำให้ได้แฟชั่นในอีกสไตล์ที่โดดเด่นและแตกต่างจากเดิม ขึ้นอยู่กับกฎของแต่ละสถาบันการศึกษาด้วย บางคนอาจจะเพิ่มเติมเครื่องประดับเล็กๆน้อยๆ หรือเล่นสีสันเพิ่มเติมตามความเหมาะสมใส่เข้าไปกลายเป็นแฟชั่นใหม่ขึ้นมาได้ แต่ในขณะเดียวกันวัยรุ่นไทยทุกคนก็ยังเคารพตามกฎระเบียบของสถาบันการศึกษาอยู่คะเรียกได้ว่าถึงแม้วัยรุ่นไทยจะชื่นชอบวัฒนธรรมแฟชั่นต่างๆมากมายแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบของแต่ละโรงเรียน ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมากๆ
ค่านิยมของวัยรุ่น
เรื่องสั้น : สิ่งที่เกิดขึ้น
ปลายผมสลวยพริ้วตัวเป็นระลอกตามสายลมที่พัดผ่าน นัยน์ตาเหม่อลอยครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างอย่างไร้จุดหมาย ไม่มีที่มาว่าเริ่มต้นยังไง และไม่รู้ว่าจุดจบมันจะเป็นยังไงกับสิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่ อาจมีหลายเรื่องราวที่รุมล้อมเข้ามาในมรสุมชีวิตของเธอ จนจับต้นชนปลายไม่ถูกว่ามันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร
สิ่งที่เธอทำ ทุกอย่างมันช่างไร้ค่าในสายตาของใครต่อใครจนไม่อาจคิดว่าเธอก็มีหัวใจบ้าง เลยหรือการที่ผู้หญิงคนหนึ่ง จะทำอะไรที่คิดว่าดีที่สุดให้กับคนที่เธอรักที่สุดได้มีความสุขที่สุด มันไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอกหรือ การที่เธอเป็นคนจัดเตรียมวางแผนและให้ในทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เธอคิดว่าดีที่สุดกับลูกสาวคนเดียวที่เธอทั้งรัก ทั้งหวงมากกว่าสิ่งอื่นใด มากกว่าชีวิตของเธอเองด้วยซ้ำ
แต่ทำไมลูก สาวถึงไม่ต้องการมัน กลับพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอได้วางไว้ เส้นทางที่เธอเลือกให้ลูกสาวเดินผ่านไปอย่างสง่าผ่าเผยเมื่อครั้งยังเด็กลูก สาวของเธอช่างเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักสดใส อ่อนหวาน ใครเห็นใครก็รัก ช่างพูดช่างเจรจา จนเธอไม่อาจคาดคิดได้ว่าลูกสาวคนนี้จะทำให้เธอต้องผิดหวัง แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป เธอกับลูกสาวมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง เมื่อหล่อนเอ่ยปากที่จะให้ลูกสาวเข้าศึกษาต่อในสาขาวิชาที่เธอต้องการ แต่แล้วเพราะการที่เธอเป็นคนที่รักลูกสาวมาก และเพราะการเลี้ยงดูแบบตามใจลูกที่ผิดๆ ของเธอ ก็ทำให้เธอต้องจำยอมกับความต้องการของลูก ให้ลูกได้เลือกเรียนในแบบที่ต้องการ
ซึ่งเธอไม่เคยได้ล่วงรู้เลยว่า แท้จริงแล้ว ลูกสาวของเธอไม่ได้ไปศึกษาเล่าเรียนที่ไหนเลย แต่งตัวออกจากบ้านทุกวันเพื่อไปเรียน แต่กลับออกเที่ยวเล่นกับเพื่อนวัยรุ่น ใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย ลูกสาวของเธอตกอยู่ภายใต้วัตถุนิยมกับค่านิยมของวัยรุ่นที่ผิดๆ เริงร่ากับมันโดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด แม้กระทั่งความรู้สึกของผู้เป็นแม่ ที่เริ่มเคลือบแคลงสงสัยว่าทำไมลูกสาวถึงมีท่าทีที่แปลกไปทุกวันๆ ไม่น่ารักสดใสเหมือนอย่างที่เคยเป็นเธอจึงตัดสินใจสะกดรอยตามลูกสาวของเธอ และแล้วเธอก็ได้รู้ว่า ลูกสาวเธอไม่ได้ไปเรียน แถมยังไปมั่วสุมกับพวกวัยรุ่นในชุมชนแห่งหนึ่ง
ภาพ ที่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น สิ่งที่ไม่คิดว่าลูกสาวที่แสนจะน่ารักของเธอจะทำ ทั้งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เสพยาเสพติด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอวาดไว้ ได้พังทะลายจนหมดสิ้น น้ำตาแห่งความรักลูกพรั่งพรูออกมาเหมือนจะกลายเป็นสายเลือด ขาทั้งสองข้างแทบล้มทั้งยืน เธอเดินโซซัดโซเซกลับมายังบ้านพัก เพราะความอ่อนเพลียจากการร้องไห้ทำให้เธอเผลอหลับไป และสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องของลูกสาวที่ดังขึ้นจากห้องนอน เธอรีบวิ่งไปหาลูกสาว ภาพที่เธอได้เห็น เธอแทบไม่เชื่อในสายตาตัวเอง ลูกสาวของเธอนอนจมกองเลือดอยู่ในห้องน้ำ เธอรู้ดีว่านี่คืออาการของคนตกเลือด นี่ลูกสาวของเธอท้องหรือนี่ โธ่!ลูกแม่ เธอรีบเข้าโอบกอดลูกไว้ แต่สายไปเสียแล้ว คำสุดท้ายที่เธอได้ยินจากปากลูก "หนูขอโทษ"
พอสิ้นเสียงลูกของเธอก็ สิ้นใจ เธอกรีดร้องอย่างสุดเสียง ร่ำร้องไห้สะอึกสะอื้นยิ่งกว่าเดิม ปากก็ร้องเรียกแต่ชื่อลูกสาว เธอรัดกอดร่างที่ไร้วิญญาณของลูกสาวไว้อย่างแนบแน่น ดุจจะให้ลูกสาวฟื้นคืนมาเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มองดูนาฬิกา ถึงเวลาที่สามีเธอโทร.ทางไกลมาจากต่างประเทศ เธอผละจากร่างของลูกสาว ครึ่งเดินครึ่งคลานไปรับโทรศัพท์ ยังไม่ทันได้พูดอะไรสามีเธอก็ขอหย่าร้างกับเธอด้วยเพราะเขามีอีกครอบครัว อยู่ที่ต่างประเทศด้วย อะไรกันนี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ สิ่งที่เธอไม่เคยได้รับรู้ วันนี้เป็นวันแห่งการสูญเสียของเธอหรืออย่างไร ชีวิตที่เคยสมบูรณ์แบบ ครอบครัวที่อบอุ่น บัดนี้ได้กลายเป็นเพียงภาพความฝัน
ไม่มีแล้วคนที่เธอรัก ทั้งลูกสาว ทั้งสามีสุดที่รัก เขาทั้งสองได้จากเธอไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แล้วเธอจะใช้อยู่อยู่ต่อได้อย่างไร จะต้องใช้เวลาอีกนานหรือไม่ ที่เธอจะยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้นัยน์ตาคู่เดิมยังคงเหม่อลอยครุ่นคิด ถึงบางสิ่งบางอย่างอย่างไร้จุดหมาย น้ำใสๆ เริ่มรินไหลจากดวงตากลมทั้งสองข้าง ความคิดและจิตนาการของเธอยังไม่หยุดนิ่ง ยังคงไร้ซึ่งที่มา จุดเริ่มต้น และจุดจบ
เสียงที่คุ้นหูก็ทำให้หลุดจากพะวัง อ้อ..พี่บุรุษพยาบาลสุดหล่อนั่นเอง "จิน มานั่งอยู่นี่เองตามหาแทบแย่ ได้เวลาทานยาแล้ว อ๊ะ..แล้วนี่ร้องไห้ทำไมเนี่ย อย่าบอกนะว่านั่งคิดเรื่องเศร้าที่ลูกสาวตายเหมือนวันนั้นอีกน่ะ" หญิงสาวลุกขึ้นยิ้มแล้วเอามือปาดน้ำตาที่ไหลลงมา "แหะๆ หนุกดีๆ เอาอีกๆ เลือดไหลๆ เลือดไหลเยอะแยะเลย" แล้วเดินตามบุรุษพยาบาลเข้าตึกคนไข้แผนกจิตเวชไป.
ปลายผมสลวยพริ้วตัวเป็นระลอกตามสายลมที่พัดผ่าน นัยน์ตาเหม่อลอยครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างอย่างไร้จุดหมาย ไม่มีที่มาว่าเริ่มต้นยังไง และไม่รู้ว่าจุดจบมันจะเป็นยังไงกับสิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่ อาจมีหลายเรื่องราวที่รุมล้อมเข้ามาในมรสุมชีวิตของเธอ จนจับต้นชนปลายไม่ถูกว่ามันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร
สิ่งที่เธอทำ ทุกอย่างมันช่างไร้ค่าในสายตาของใครต่อใครจนไม่อาจคิดว่าเธอก็มีหัวใจบ้าง เลยหรือการที่ผู้หญิงคนหนึ่ง จะทำอะไรที่คิดว่าดีที่สุดให้กับคนที่เธอรักที่สุดได้มีความสุขที่สุด มันไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอกหรือ การที่เธอเป็นคนจัดเตรียมวางแผนและให้ในทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เธอคิดว่าดีที่สุดกับลูกสาวคนเดียวที่เธอทั้งรัก ทั้งหวงมากกว่าสิ่งอื่นใด มากกว่าชีวิตของเธอเองด้วยซ้ำ
แต่ทำไมลูก สาวถึงไม่ต้องการมัน กลับพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอได้วางไว้ เส้นทางที่เธอเลือกให้ลูกสาวเดินผ่านไปอย่างสง่าผ่าเผยเมื่อครั้งยังเด็กลูก สาวของเธอช่างเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักสดใส อ่อนหวาน ใครเห็นใครก็รัก ช่างพูดช่างเจรจา จนเธอไม่อาจคาดคิดได้ว่าลูกสาวคนนี้จะทำให้เธอต้องผิดหวัง แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป เธอกับลูกสาวมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง เมื่อหล่อนเอ่ยปากที่จะให้ลูกสาวเข้าศึกษาต่อในสาขาวิชาที่เธอต้องการ แต่แล้วเพราะการที่เธอเป็นคนที่รักลูกสาวมาก และเพราะการเลี้ยงดูแบบตามใจลูกที่ผิดๆ ของเธอ ก็ทำให้เธอต้องจำยอมกับความต้องการของลูก ให้ลูกได้เลือกเรียนในแบบที่ต้องการ
ซึ่งเธอไม่เคยได้ล่วงรู้เลยว่า แท้จริงแล้ว ลูกสาวของเธอไม่ได้ไปศึกษาเล่าเรียนที่ไหนเลย แต่งตัวออกจากบ้านทุกวันเพื่อไปเรียน แต่กลับออกเที่ยวเล่นกับเพื่อนวัยรุ่น ใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย ลูกสาวของเธอตกอยู่ภายใต้วัตถุนิยมกับค่านิยมของวัยรุ่นที่ผิดๆ เริงร่ากับมันโดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด แม้กระทั่งความรู้สึกของผู้เป็นแม่ ที่เริ่มเคลือบแคลงสงสัยว่าทำไมลูกสาวถึงมีท่าทีที่แปลกไปทุกวันๆ ไม่น่ารักสดใสเหมือนอย่างที่เคยเป็นเธอจึงตัดสินใจสะกดรอยตามลูกสาวของเธอ และแล้วเธอก็ได้รู้ว่า ลูกสาวเธอไม่ได้ไปเรียน แถมยังไปมั่วสุมกับพวกวัยรุ่นในชุมชนแห่งหนึ่ง
ภาพ ที่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น สิ่งที่ไม่คิดว่าลูกสาวที่แสนจะน่ารักของเธอจะทำ ทั้งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เสพยาเสพติด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอวาดไว้ ได้พังทะลายจนหมดสิ้น น้ำตาแห่งความรักลูกพรั่งพรูออกมาเหมือนจะกลายเป็นสายเลือด ขาทั้งสองข้างแทบล้มทั้งยืน เธอเดินโซซัดโซเซกลับมายังบ้านพัก เพราะความอ่อนเพลียจากการร้องไห้ทำให้เธอเผลอหลับไป และสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องของลูกสาวที่ดังขึ้นจากห้องนอน เธอรีบวิ่งไปหาลูกสาว ภาพที่เธอได้เห็น เธอแทบไม่เชื่อในสายตาตัวเอง ลูกสาวของเธอนอนจมกองเลือดอยู่ในห้องน้ำ เธอรู้ดีว่านี่คืออาการของคนตกเลือด นี่ลูกสาวของเธอท้องหรือนี่ โธ่!ลูกแม่ เธอรีบเข้าโอบกอดลูกไว้ แต่สายไปเสียแล้ว คำสุดท้ายที่เธอได้ยินจากปากลูก "หนูขอโทษ"
พอสิ้นเสียงลูกของเธอก็ สิ้นใจ เธอกรีดร้องอย่างสุดเสียง ร่ำร้องไห้สะอึกสะอื้นยิ่งกว่าเดิม ปากก็ร้องเรียกแต่ชื่อลูกสาว เธอรัดกอดร่างที่ไร้วิญญาณของลูกสาวไว้อย่างแนบแน่น ดุจจะให้ลูกสาวฟื้นคืนมาเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มองดูนาฬิกา ถึงเวลาที่สามีเธอโทร.ทางไกลมาจากต่างประเทศ เธอผละจากร่างของลูกสาว ครึ่งเดินครึ่งคลานไปรับโทรศัพท์ ยังไม่ทันได้พูดอะไรสามีเธอก็ขอหย่าร้างกับเธอด้วยเพราะเขามีอีกครอบครัว อยู่ที่ต่างประเทศด้วย อะไรกันนี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ สิ่งที่เธอไม่เคยได้รับรู้ วันนี้เป็นวันแห่งการสูญเสียของเธอหรืออย่างไร ชีวิตที่เคยสมบูรณ์แบบ ครอบครัวที่อบอุ่น บัดนี้ได้กลายเป็นเพียงภาพความฝัน
ไม่มีแล้วคนที่เธอรัก ทั้งลูกสาว ทั้งสามีสุดที่รัก เขาทั้งสองได้จากเธอไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แล้วเธอจะใช้อยู่อยู่ต่อได้อย่างไร จะต้องใช้เวลาอีกนานหรือไม่ ที่เธอจะยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้นัยน์ตาคู่เดิมยังคงเหม่อลอยครุ่นคิด ถึงบางสิ่งบางอย่างอย่างไร้จุดหมาย น้ำใสๆ เริ่มรินไหลจากดวงตากลมทั้งสองข้าง ความคิดและจิตนาการของเธอยังไม่หยุดนิ่ง ยังคงไร้ซึ่งที่มา จุดเริ่มต้น และจุดจบ
เสียงที่คุ้นหูก็ทำให้หลุดจากพะวัง อ้อ..พี่บุรุษพยาบาลสุดหล่อนั่นเอง "จิน มานั่งอยู่นี่เองตามหาแทบแย่ ได้เวลาทานยาแล้ว อ๊ะ..แล้วนี่ร้องไห้ทำไมเนี่ย อย่าบอกนะว่านั่งคิดเรื่องเศร้าที่ลูกสาวตายเหมือนวันนั้นอีกน่ะ" หญิงสาวลุกขึ้นยิ้มแล้วเอามือปาดน้ำตาที่ไหลลงมา "แหะๆ หนุกดีๆ เอาอีกๆ เลือดไหลๆ เลือดไหลเยอะแยะเลย" แล้วเดินตามบุรุษพยาบาลเข้าตึกคนไข้แผนกจิตเวชไป.
มัลติมิเดีย
ความหมายของมัลติมีเดีย
1. ความหมาย “มัลติมีเดีย “
1.1 มัลติ ( Multi )
มัลติ คือ หลาย ๆ อย่างผสมรวมกัน
1.2 มีเดีย ( Media )
มีเดีย คือ สื่อ ข่าวสาร ช่องทางการสื่อสารเพื่อนำมารวมกัน เป็นคำว่า “มัลติมีเดีย”
1.2 มีเดีย ( Media )
มีเดีย คือ สื่อ ข่าวสาร ช่องทางการสื่อสารเพื่อนำมารวมกัน เป็นคำว่า “มัลติมีเดีย”
มัลติมีเดีย ( Multimedia )
มัลติมีเดีย คือ การนำองค์ประกอบของสื่อชนิดต่าง ๆ มาผสมผสานรวมกัน ซึ่งประกอบด้วย ตัวอักษร ( Text ) ภาพนิ่ง ( Image ) ภาพเคลื่อนไหว ( Animation ) เสียง (Sound ) และวีดีโอ ( Video ) โดยผ่านกระบวนการทางระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อสื่อความหมายกับผู้ใช้อย่างมีปฏิสัมพันธ์ ( Interactive Multimedia ) และได้บรรลุตามวัตถุประสงค์การใช้งาน
2. องค์ประกอบของมัลติมีเดีย
2.1 ข้อความหรือตัวอักษร
ข้อความหรือตัวอักษร ถือว่าเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญของมัลติมีเดีย ที่นำเสนอผ่านจอภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ นอกจากจะมีรูปแบบและสีของตัวอักษรให้เลือกมากมายตามความต้องการแล้วยังสามารถกำหนดคุณลักษณะของปฎิสัมพันธ์ ( โต้ตอบ ) ในระหว่างการนำเสนอได้อีกด้วย
2.2 ภาพนิ่ง ( Image )
ภาพนิ่งเป็นภาพที่ไม่มีการเคลื่อนไหว เช่น ภาพถ่าย ภาพวาด และภาพลายเส้น เป็นต้น แต่ภาพนั้นสามารถสื่อความหมายได้กับทุกชนชาติ ภาพนิ่งมักจะแสดงอยู่บนสื่อชนิดต่าง ๆ เช่น
โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรือวารสารวิชาการ เป็นต้น
2.3 ภาพเคลื่อนไหว ( Animation )
ภาพเคลื่อนไหว หมายถึง ภาพกราฟฟิกที่มีการเคลื่อนไหวเพื่อแสดงขั้นตอนหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น การเคลื่อนที่ของอะตอมในโมเลกุล เป็นต้น เพื่อสร้างสรรค์จินตนาการให้เกิดแรงจูงใจจากผู้ชม
2.4 เสียง ( Sound )
เสียง เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของมัลติมีเดีย โดยจะถูกจัดเก็บอยู่ในรูปของสัญญาดิจิตอล ซึ่งสามารถเล่นซ้ำกลับไปกลับมาได้ โดยโช้โปรแกรมที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับทำงานด้านเสียงจะเกิดความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น สร้างความน่าสนใจ น่าติดตาม เสียงจึงมีองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับมัลติมีเดีย ซึ่งสามารถนำเข้าเสียงผ่านทางไมโครโฟน แผ่นซีดี เทปเสียง และวิทยุ เป็นต้น
2.5 วีดีโอ ( Video )
เนื่องจากวีดีโอในระบบดิจิตอลจะสามารถนำเสนอข้อความ หรือรูปภาพ ( ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว ) ประกอบกับเสียงได้สมบูรณ์มากกว่าองค์ประกอบชนิดอื่น ๆ ปัญหาหลักของการใช้วีดีโอในระบบมัลติมีเดีย คือ การสิ้นเปลืองทรัพยากรของพื้นที่บนหน่วยความทรงจำเป็นจำนวนมาก
3. ประโยชน์
- ง่ายต่อการใช้งาน
- สามารถได้ถึงความรู้สึก
- สร้างเสริมประสบการณ์
- เพิ่มขีดความสามารถในการเรียนรู้
- เข้าใจเนื้อหามากยิ่งขึ้น
- คุ้มค่าในการลงทุน
- เพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุน
- สามารถได้ถึงความรู้สึก
- สร้างเสริมประสบการณ์
- เพิ่มขีดความสามารถในการเรียนรู้
- เข้าใจเนื้อหามากยิ่งขึ้น
- คุ้มค่าในการลงทุน
- เพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุน
บทสรุป
“มัลติมีเดีย” เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่มีขีดความสามารถในการผลิตได้หลากหลายรูปแบบ การนำเสนอองค์ประกอบของสื่อชนิดต่าง ๆ มาผสมผสานเข้าด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วยตัวอักษรภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง วีดีโอ โดยผ่านกระบวนการทางระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อสื่อความหมายกับผู้ใช้อย่างมีปฏิสัมพันธ์และได้บรรลุผลตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งาน มัลติมีเดียทั้ง 5
บึงกาฬ
จังหวัดบึงกาฬ เป็นจังหวัดที่มีการร้องขอให้จัดตั้งขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2537 ตามข้อเสนอของนายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเสรีธรรม จังหวัดหนองคาย โดยแยกพื้นที่อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย
จากการสำรวจความเห็นของประชาชน จำนวน 366,903 คน ปรากฏว่าประชาชนเห็นด้วยกับการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ร้อยละ 98.83 หากมีการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ จะมีประชากรประมาณ 399,233 คน ประกอบด้วย 8 อำเภอ ส่วนจังหวัดหนองคาย จะประกอบด้วย 9 อำเภอ ประชากร 506,343 คน
บึงกาฬ เป็นอำเภอที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง มีน้ำตก มีภูเขา เป็นอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดต่อกับแม่น้ำโขง และแขวงบริคำไชย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
"บึงกาฬ" เป็นอำเภอหนึ่งของ จ.หนองคาย มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง มีน้ำตก มีภูเขา เป็นอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดกับแม่น้ำโขง และฝั่งตรงข้ามแม่นำ้โขงจะเป็นประเทศเพื่อนบ้าน (ลาว) มีการคมนาคมที่สะดวก มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงคือ ทิศเหนือติดกับแขวงบอลิคำไซ (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) ทิศตะวันออกติดกับอำเภอบุ่งคล้า ทิศใต้ติดกับอำเภอเซกา อำเภอศรีวิไล อำเภอพรเจริญ และอำเภอโซ่พิสัย ทิศตะวันตก ติดกับอำเภอปากคาด
อ.แม่สาย
ตลาดผ่านแดน เป็นอำเภอที่อยู่เหนือสุดของประเทศไทย ติดกับพรมแดนประเทศพม่าโดยมีแม่น้ำรวกแบ่งเขตแดน มีสะพานข้ามระหว่างฝั่งไทยและพม่า ทั้งสองฝั่งเป็นที่ตั้งของด่านตรวจคนเข้าเมืองของทั้งสองประเทศ ตัวเมืองแม่สายอย่างห่างจากตัวเมืองเชียงราย 62 กิโลเมตร ไปตามเส้นทางหลวงหมาลเลข 110 ไปจนเกือบสุดถนนเป็นทั้งตั้งของที่ทำการอำเภอแม่สาย ห่างขึ้นไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตรคือตลาดชายแดนแม่สาย ห่างตรงผ่านด่านตรงขึ้นไปก็จะเข้าประเทศพม่าไปยังเมืองเชียงตุงของพม่า ผ่านเมืองลาเมืองปกครองพิเศษ แล้วเข้าไปยังเมืองเชียงรุ่ง สิบสองปันนาของจีน แม่สายมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันไม่ขาดสายทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ขับรถลงมาจากเมืองเชียงรุ่ง แขวงสิบสองปันนา
ตลาดฝั่งไทยเป็นที่ขายสินค้าซึ่งส่วนใหญ่มาจากจีนโดยขนส่งมาทางเรือแล้วมาขึ้นที่ท่าเรือเชียงแสน สินค้าของฝากจำพวกผลไม้อบแห้ง เห็นหอมแห้ง ขนมต่างๆ และยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้าจากจีนอีกเป็นจำนวนมาก ส่วนเรื่องคุณภาพนั้นบางคนก็บอกว่าเป็นสินค้าไม่มีคุณภาพ แต่ผมก็ไม่สามารถเขียนลงในสื่อได้ว่าคุณภาพดีหรือไม่ดี ก็แล้วแต่ละท่านจะเลือกซื้อและพิจารณากันเอง
บริเวณด้านขวาของด่านเป็นที่ตั้งของป้ายเหนือสุดยอดแดนสยามไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป แต่ก็หายากสักหน่อยเพราะแถวนั้นมีแต่ร้านค้า
ตลาดท่าขี้เหล็ก เมืองนี้ไม่ได้อยู่ฝั่งประเทศไทย เมืองท่าขี้เหล็กเป็นเมืองที่อยู่ฝั่งพม่าตรงข้ามกับเมืองแม่สายโดยมีแม่น้ำกั้น หากเดินผ่านสะพานเข้าไปก็เป็นเมืองท่าขี้เหล็ก คนไทยที่ไม่เคยข้ามไปก็อยากจะข้ามไปเพราะไม่รู้ว่าฝั่งนั้นมีอะไร พอข้ามไปแล้วก็จะรู้ว่าไม่มีอะไร บริเวณริมสะพานด้านขวาเป็นที่ตั้งของตลาดซึ่งก็เหมือนกับตลาดฝั่งแม่สาย ดูเหมือนสินค้าจะราคาถูกกว่าโดยเฉพาะพวกแอบเปิ้ล พอซื้อมาแล้วก็รู้สึกเหมือนว่าถูกหลอก แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้หลอก คือว่าที่นั่นมาตรฐานกิโลของเขาไม่เท่าของเรา 1 กิโลของเขาเท่ากับ 8 ขีดของเรา ดังนั้นถ้าจะข้ามไปซื้อเห็ดหอมแล้วก็ระวังกลับมาชีช้ำเพราะบวกลบคูณหารดูแล้วราคาแพงกว่าฝั่งไทย บุหรี่นอกราคาถูกๆ ก็มีขายเยอะแยะ ซองภายนอกล่ะก็ใช่แต่ภายในบุหรี่ยี่ห้อพม่าแถมขึ้นราอีกตะหาก ซีดีถูกๆ ก็มีเยอะเพราะฝั่งนั้นเขาไม่จับเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ ถ้าหากจะซื้อก็ควรจะซื้อในร้านใหญ่ๆ ซื้อแล้วลองก่อนไม่งั้นจะได้ซีดีเสียที่ไม่สามารถเปิดดูได้ ถ้าหากจะซื้อของตามร้านแผงลอยริมทางก็ควรที่จะเตรียมเงินไว้ให้พอดี ถ้าหากจะต้องทอนก็จะมีปัญหาเพราะทางนั้นมักจะไม่ค่อยทอนโดยจะยัดเยียดของอื่นให้แทนโดยอ้างว่าไม่มีเงินทอนยื้อไปยื้อมาเสียเวลาเดี๋ยวกลับมาขึ้นรถไม่ทัน สรุปว่าไม่ต้องข้ามไปให้เสียเงินเสียเวลาดีกว่า ถ้าคิดจะซื้อของให้ซื้อฝั่งไทยเป็นคำตอบสุดท้ายที่ถูกต้องที่สุด แต่ถ้าหากจะข้ามไปเที่ยวฝั่งนั้นก็พอมีที่เที่ยว ทางพม่าได้ทำอนุสาวรีย์บุเรงนอง และเจดีย์ชเวดากองจำลองไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ไปเที่ยวชม สถานที่ท่องเที่ยวนี้อยู่ห่างจากชายแดนประมาณ 2 กิโลเมตร การไปเที่ยวชมจะต้องเช่ารถมอเตอร์ไซด์สามล้อไปจากตลาดท่าขี้เหล็ก ค่าใช้จ่ายไป-กลับ 40 บาท 50 บาท 60 บาท แล้วแต่ละรายจะเรียก แต่ถ้าจะไปต้องคุยกันให้รู้เรื่องว่าราคาไป-กลับหรือราคาเที่ยวเดียว เพราะเคยมีนักท่องเที่ยวโดนหลอกบ่อยๆ จริงๆ แล้วไปกลับ 50 บาท บางคนโดนเก็บเที่ยวกลับอีก 50 บาท บางคนโดนเรียกเที่ยวกลับอีก 100 บาท ทุกคนก็ต้องรีบกลับให้ทันเวลาที่กลุ่มนัด ก็ต้องจำใจจ่าย ถ้าคิดจะเที่ยวฝั่งนั้นก็ระวังนิดนึ่ง พวกพม่ามันเชื่อไม่ได้ ยกเว้นพวกไทยใหญ่ฝั่งโน้นนิสัยดีน่าคบเชื่อถือได้ หากข้ามไปฝั่งโน้นแล้วต้องการเช่าสามล้อก็ให้เลือกใช้บริการจากชาวไทยใหญ่
การข้ามแดน เตรียมสำหรับบัตรประชาชน ทำเรื่องขออนุญาตที่ด่าน ค่าเอกสาร ค่าเตรียมเนียม 40 บาท ข้ามฝั่งพม่า 10 บาท
วัดพระธาตุดอยเวา ตั้งอยู่ในตลาดแม่สายติดชายแดนไทยพม่า อยู่ก่อนถึงด่านแม่สายประมาณ 100 เมตรเข้าไปในซอยเล็กๆ ซ้ายมือ เป็นซอยย่านค้าขาย บริเวณวัดเป็นที่จอดรถ องค์พระธาตุตั้งอยู่บนดอยริมฝั่งแม่น้ำแม่สาย ตามประวัติกล่าวว่า พระองค์เวาหรือเว้าผู้ครองนครนาคพันธ์โยนก เป็นผู้สร้างเพื่อบรรจุพระเกศาธาตุองค์หนึ่งเมื่อ พ.ศ. 364 นับเป็นพระบรมธาตุที่เก่าแก่องค์หนึ่งรองมาจากพระบรมธาตุดอยตุง นอกจากนี้บนยอดดอยเวายังเป็นจุดที่สามารถชมทิวทัศน์ของอำเภอแม่สาย และท่าขี้เหล็กทางฝั่งพม่าได้อย่างชัดเจน สามารถนำขึ้นไปจนถึงพระธาตุได้
การเลี้ยงปลาทะเล
การเลี้ยงปลาทะเลในตู้ สิ่งสำคัญอันดับแรกๆของการเลี้ยงปลาสวยงามโดยเฉพาะปลาทะเล คือสี่งที่อยู่ในช่องกรองก็มีอยู่หลายชนิดที่นิยมใช้ เช่น เศษปะการัง เปลือกหอย ไบโอบอล ไบโอริง ใส่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของแบคทีเรียในการย่อยสลายของเสียที่เกิดขึ้นในน้ำ การออกแบบวัสดุต่างๆส่วนมากจะออกแบบมาให้มีพื้นที่หน้าสัมผัสมากกว่าปกติ เพื่อสร้างเป็นที่อยู่อาศัยของแบคทีเรีย และเพิ่มปริมาณออกซิเจนในระบบ วัสดุกรองเหล่านี้มีความแตกต่างกันซึ่งผมจะขออธิบายเพื่อให้เป็นตัวเลือกประกอบการตัดสินใจในการเลือกใช้สำหรับผู้ที่สนใจและกำลังจะเริ่มเลี้ยงปลาทะเลคือ
1 เศษประการังคุณสมบัติที่ดีของเศษปะการัง คือ มีรูพรุนมาก การใส่เศษปะการังควรที่จะใส่เบอร์ใหญ่ด้านล่าง แล้วค่อยไล่ขึ้นมาเป็นเบอร์ละเอียด การใช้วัสดุชนิดนี้ระบบภายในตู้จะอยู่ตัวเร็วกว่าวัสดุชนิดอื่น แต่จะมีปัญหาเศษฝุ่นแก้ไขโดยการใช้ใยแก้วเป็นตัวกรองด้านบน อีกปัญหาหนึ่งคือสารเคมีที่ใช้ฟอกขาว ดังนั้นก่อนนำวัสดุชนิดนี้มาใช้ควรแช่น้ำไว้ก่อน
2ไบโอบอล เป็นวัสดุที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทดแทนปะการัง ผิวหน้าของไบโอบอลจำนวนมากเป็นที่อยู่อาศัยอย่างดีของแบคทีเรียเช่นเดียวกับรูพรุนของเศษปะการัง และไบโอบอลมีน้ำหนักเบา ซึ่งมีความสะดวกมากในการใช้งาน ราคาจะถูกกว่าเศษปะการัง และที่สำคัญไม่ผิดกฏหมายด้วย
3ไบโอริง เป็นวัสดุที่สร้างขึ้นมาเลียนแบบเศษปะการังซึ่งนับเป็นวัสดุที่มีความใกล้เคียงเรื่องคุณสมบัติ โดยเฉพาะเรื่องรูพรุนที่เป็นที่อยู่อาศัยของแบคทีเรีย แต่กลับไม่นิยมใช้เพราะราคาของไบโอริงแพงมาก แต่ด้วยประสิทธิภาพสูง ผมคิดว่าไบโอริงเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง เปลือกหอย เปลือกหอยเป็นวัสดุที่หาง่ายราคาถูก ระบบภายในตู้เกิดการเซตตัวได้เร็ว ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกนะครับ โดยเฉพาะคนที่ทุนน้อยแต่ใจรัก
4ระบบกรองน้ำ ระบบกรองน้ำตู้ปลาทะเลเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในระบบปิด เพื่อที่จะใช้จัดการกับของเสียของสี่งมีชีวิต เพื่อให้สภาพน้ำในระบบมีความใกล้เคียงกับสภาพน้ำในธรรมชาติมากที่สุดโดยได้มีการออกแบบช่องกรอง วัสดุกรอง การบังคับทิศทางการไหลของน้ำ สถาพโครงสร้างทางนิเวศ์จำลองในตู้
สิ่งต่างๆที่ได้กล่าวมานี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลี้ยงปลาทะเลในตู้ และที่สำคัญอีกอย่าง รักปลาสวยงามแล้วอย่าลืมรักธรรมชาติด้วยนะครับ
1 เศษประการังคุณสมบัติที่ดีของเศษปะการัง คือ มีรูพรุนมาก การใส่เศษปะการังควรที่จะใส่เบอร์ใหญ่ด้านล่าง แล้วค่อยไล่ขึ้นมาเป็นเบอร์ละเอียด การใช้วัสดุชนิดนี้ระบบภายในตู้จะอยู่ตัวเร็วกว่าวัสดุชนิดอื่น แต่จะมีปัญหาเศษฝุ่นแก้ไขโดยการใช้ใยแก้วเป็นตัวกรองด้านบน อีกปัญหาหนึ่งคือสารเคมีที่ใช้ฟอกขาว ดังนั้นก่อนนำวัสดุชนิดนี้มาใช้ควรแช่น้ำไว้ก่อน
2ไบโอบอล เป็นวัสดุที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทดแทนปะการัง ผิวหน้าของไบโอบอลจำนวนมากเป็นที่อยู่อาศัยอย่างดีของแบคทีเรียเช่นเดียวกับรูพรุนของเศษปะการัง และไบโอบอลมีน้ำหนักเบา ซึ่งมีความสะดวกมากในการใช้งาน ราคาจะถูกกว่าเศษปะการัง และที่สำคัญไม่ผิดกฏหมายด้วย
3ไบโอริง เป็นวัสดุที่สร้างขึ้นมาเลียนแบบเศษปะการังซึ่งนับเป็นวัสดุที่มีความใกล้เคียงเรื่องคุณสมบัติ โดยเฉพาะเรื่องรูพรุนที่เป็นที่อยู่อาศัยของแบคทีเรีย แต่กลับไม่นิยมใช้เพราะราคาของไบโอริงแพงมาก แต่ด้วยประสิทธิภาพสูง ผมคิดว่าไบโอริงเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง เปลือกหอย เปลือกหอยเป็นวัสดุที่หาง่ายราคาถูก ระบบภายในตู้เกิดการเซตตัวได้เร็ว ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกนะครับ โดยเฉพาะคนที่ทุนน้อยแต่ใจรัก
4ระบบกรองน้ำ ระบบกรองน้ำตู้ปลาทะเลเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในระบบปิด เพื่อที่จะใช้จัดการกับของเสียของสี่งมีชีวิต เพื่อให้สภาพน้ำในระบบมีความใกล้เคียงกับสภาพน้ำในธรรมชาติมากที่สุดโดยได้มีการออกแบบช่องกรอง วัสดุกรอง การบังคับทิศทางการไหลของน้ำ สถาพโครงสร้างทางนิเวศ์จำลองในตู้
สิ่งต่างๆที่ได้กล่าวมานี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลี้ยงปลาทะเลในตู้ และที่สำคัญอีกอย่าง รักปลาสวยงามแล้วอย่าลืมรักธรรมชาติด้วยนะครับ
อาหารสไตล์อิตาลี
เมนูอาหารมีตั้งแต่อาหารอิตาเลี่ยน ซีฟู้ด ขนมหวาน เค้ก เบเกอรี่ ด้วยการสร้างสรรค์ของเชฟเออร์เนสโท สเตฟานี ผู้มีประสบการณ์ในการปรุงอาหารสไตล์อิตาเลี่ยนดั้งเดิมเป็นเวลาถึง 25 ปี ในประเทศอิตาลี อังกฤษ ญี่ปุ่น น้ำซอสที่ราดบนอาหารจานโปรด จะเปลี่ยนแปลงไปตามวัตถุดิบที่มีอยู่ในฤดูกาลนั้นๆ สร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือนในความแปลกใหม่ของอาหารแต่ละจาน
ขนมไทยสมัยก่อน
เพื่อนหลายคน ๆ ในที่นี้ หากให้นึกถึงขนมไทย ก็คงนึกถึงขนทประเภท ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เป็นอันดับแรก ๆ เพราะว่าเป็นขนมไทยสมัยโบราณ อันเกิดจากความปราณีตในรูปลักษณ์และรสชาติอันเลอเลิศ แสดงถึงความเฉลียวฉลาดในการประดิดประดอยของเรา ทำให้เราเชื่อกันว่าขนมประเภท ทอง นั้นเป็นฝีมือของคนไทยสมัยโบราณ
แต่จากหลักฐานที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นฝีมือของท้าวทองกีบม้า หรือภรรยาของ คอนแสตนติน ฟอลคอน (เจ้าพระยาวิชาเยนทร์) ซึ่งท้าวทองกีบม้า (บรรดาศักดิ์ที่ได้รับ)หรือที่เรียกอีกนามว่า มารี กีมาร์ สาวลูกครึ่งญี่ปุ่นโปรตุเกส เป็นผู้คิดค้นสูตรขนมดังกล่าว
ขนมไทยแต่โบราณจริง ๆ มีส่วนประกอบใหญ่หลักก็คือ แป้ง ที่ทำจากข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียว น้ำตาลทำจากน้ำตาลปึก(ปิ๊ป) และมะพร้าวที่เป็นวัตถุดิบที่ให้ความหวานแบบธรรมชาติ ซึ่งหาวัตถุดิบเหล่านี้ได้แต่ละท้องถิ่นทั่วประเทศ นอกจากนี้ก็เพิ่มกลิ่นและสีสัน จากส่วนประกอบอื่น ๆ ที่หาได้ตามพื้นบ้าน เช่นกลิ่มหอมของดอกไม้ ใบไม้และพืชตามธรรมชาติ
แต่เมื่อมีการติดต่อกับชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวยุโรป จากการค้าขาย หรือเหตุผลทางการเมืองการปกครอง วัฒนธรรมการกินของคนไทยก็เริ่มเปลี่ยนแปลง เช่น รู้จักการดื่มนม กาแฟ การใช้แป้งสาลี และน้ำตาลทรายที่ใช้เป็นส่วนประกอบหลักในการทำขนม
จากหลักฐานจดหมายเหตุ รัชสมัยพระนารายณ์มหาราช มีความน่าเป็นไปได้ว่า ขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง สังขยา หม้อแกง เกิดขึ้นและมาจากการคิดค้นประดิษฐ์ ตามเชื้อชาติของท้าวทองกีบม้า นั่นคือ ชาวโปรตุเกส โดยส่วนประกอบหลักสำคัญในการทำขนมก็หาจากวัตถุดิบในประเทศไทย เช่น แป้ง ไข่ไก่ น้ำตาลทราย เพียงแต่นางดัดแปลงเพิ่มเติมให้เข้ากับรสนิยมแบบไทย ๆ ทั้งรสชาติและรูปลักษณ์
ในหนังสือฟื้นไมตรีไทย-โปรตุเกส ของศรวนีย์ จินายน บอกว่าลักษณะอาหารโปรตุเกสที่เชื่อกันว่าท้าวทองกีบม้าเข้ามาเผยแพร่ในไทยมีอยู่เพียง 2 อย่าง คือ ทองหยิบ (Biretta) ฝอยทอง( Fios do Ovos) แต่จากรูปลักษณ์ที่งดงาม นักประวัติศาสตร์หลายท่านก็ลงความเห็นว่า ขนมเหล่านี้เกิดจากการคิดประดิดประดอยของคนไทย สันนิษฐานจากเทคนิคการใช้นิ้วชี้ หัวแม่มือ และนิ้วกลาง กวาดแป้งที่ปากถ้วย แล้วสะบัดลงกระทะที่มีน้ำเชื่อม การจะไดขนมหวานที่มีรูปเรียวรีเหมือนหยาดน้ำนั้นต้องอาศัยความชำนาญของผู้ทำ
นอกจากนี้ยังมีขนมอื่น ๆ เช่น ขนมสังขยา ขนมบ้าบิ่น ขนมหม้อแกง ที่มีหลักฐานว่ามาจากส่วนประกอบตามแบบขนมหวานโปรตเกส แต่คนไทยก็ได้นำมาดัดแปลงเสียใหม่ เช่น ขนมหม้อแกงในปัจจุบัน เชื่อกันว่ามาจากขนมชื่อไพเราะ กุมภมาศ ซึ่งท้าวทองกีบม้าเป็นผู้ประดิษฐ์เพื่อถวายเป็นของเสวยแด่พระเจ้ากรุงสยาม(พระนารายณ์มหาราช) โดยใส่ในภาชนะอันมีค่าตามแบบธรรมเนียมกรีก-โรม เช่น หม้อทองเหลือง ทองคำ โดยนำไปผิงไฟให้สุกทั่วกันส่งกลิ่นหอม ขนมกุมภมาศ แปลตามศัพท์ตรงตัวว่า ขนมหม้อแกง เมื่อขนมชนิดนี้นิยมแพร่หลายไปถึงคนธรรมดา จึงเปลี่ยนภาชนะเป็นหม้อแกงธรรมดา จึงแรกว่า ขนมหม้อแกง แม้ปัจจุบันขนมหม้อแกงจะใช่ภาชนะเป็นถาดแล้วก็ตาม
อาหารไทย
เกี่ยวกับอาหารไทย
อาหารไทยกลายเป็นอาหารที่นิยมทั่วโลกเนื่องจากรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเกิดจากการผสมผสานอย่างกลมกล่อมของรสหวาน รสเปรี้ยว และรสเค็ม นอกจากนั้นยังมีรสเผ็ดร้อนของพริกที่เพิ่มรสชาติอาหารไทยให้เป็นที่นิยมของ ชนทุกชั้น ทั้งคนไทยและผู้บริโภคชาวต่างชาติทั่วโลก
อาหารไทยได้รวบรวมสุดยอดศิลปะการปรุง อาหารของชาวเอเชียตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นการปรุงอาหารแบบซีฉวนของจีน, การปรุงอาหารเขตเมืองร้อนของชาวมาเลย์, การปรุงอาหารด้วยกะทิอันมีต้นกำเนิดจากอินเดียตอนใต้ และ การใช้เครื่องเทศในการปรุงอาหารของชาวอาราเบีย ศิลปะการปรุงอาหารไทยที่มีต้นกำเนิดจากการผสมผสานของศิลปะการปรุงอาหารที่ หลากหลายเหล่านี้ได้รับการประยุกต์โดยใช้ สมุนไพรพื้นเมืองที่สมบูรณ์ภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ผักชี, พริก, พริกไทย, เครื่องเทศอื่นๆ ผลที่ได้คือรูปลักษณ์อาหารที่ชวนให้น่า้รับประทาน ขณะที่ใช้เนื้อสัตว์ปรุงอาหารในปริมาณจำกัด และเน้นคุณค่าของสมุนไพรและผักสดต่างๆ ทำให้อาหารไทยอร่อยทั้งรสชาติ, สารอาหารครบถ้วนและดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค
การปรุงอาหารไทยจะใช้ วิธีการปรุงที่สั้นและรวดเร็ว ทำให้พืชผักและสมุนไพรที่ใช้ประกอบอาหารยังคงมีสีสันสวยงาม กรอบ และไม่เสียรสชาติดั้งเดิม รวมถึงสิ่งที่สำคัญคือคุณค่าทางโภชนาการของอาหารที่ยังคงครบถ้วน ส่วนประกอบหลักของการปรุงอาหารไทยได้แก่ พืชผัก สมุนไพรพื้นเมืองต่งๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้อาหารมีกลิ่นหอมต่างจากอาหารของชนชาติอื่นๆแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณทางยาตามตำรับแพทย์แผนไทยของสมุนไพรและผักต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งส่งผลให้ชาวต่างชาติรู้ถึงประโยชน์ และกล่าวขานถึงอาหารไทยที่นอกจากจะเด่นในเรื่องรสชาติแล้ว ยังเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคอีกด้วย
อาหารไทยหนึ่งมื้อจะประกอบด้วยการผสมผสานอาหารหลายๆประเภทในมื้อเดียว กัน ไม่ว่าจะเป็นแกง, น้ำแกง, กับข้าวประเภทผัด, น้ำพริก เครื่องจิ้มผักสด และยำประเภทต่างๆ ซึ่งรสชาติอาหารเหล่านี้จะมีทั้งเผ็ดร้อนและกลมกล่อมผสมผสานกัน เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกตามความพอใจ
การปรุงอาหารไทยนั้นไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินความสามารถของทุกคน ถ้าท่านได้คุ้นเคยกับวัตถุดิบ ส่วนผสมและ เครื่องปรุงต่างๆแล้ว ทางเราสามารถยืนยันได้ว่า ท่านจะประหลาดใจถึงความสามารถของท่านในการปรุงอาหารไทยของท่านเอง การดำรงชีวิตของคนไทยนั้นจะไม่เร่งรัด ไม่รีบร้อน ปล่อยตัวตามสบาย ซึ่งส่งผลไปยังวิถีการปรุงอาหารของคนไทยที่ไม่เร่งรัด ง่ายๆ แต่พิถีพิถัน ที่สำคัญเวลาปรุงอาหารไทย อย่าลืมยิ้ม ตามที่คนต่างชาติรู้จักคนไทยว่าเป็น สยามเมืองยิ้ม!
ขนมเค้ก
เค้กมะพร้ามอ่อน !!! รู้สึกว่าผลไม้เกือบทุกชนิดเนี๊ยะ เอามาทำขนมเค้กได้ทั้งนั้นเลย อิอิ น่ากินๆๆอีกแล้ว มีหวังอ้วนก็คราวนี้แหละ อยากรู้วิธีทำกันแระยังเอ่ย ไปลองทำกันเลยค่ะ
นำ นมข้นจืด กะทิ น้ำมะพร้าวอ่อน น้ำตาล แป้งกวนไส้ เกลือ ใส่ชาม คนให้เข้ากัน นำขึ้นตั้งไฟแบบ double-boiling คนส่วนผสมไปในทางเดียวกันตลอดเวลา จนกระทั่งแป้งสุก ส่วนผสมข้น ยกลงจากเตา ใส่เนยกับเนื้อมะพร้าวอ่อนลงไปคนให้เข้ากัน พักไว้ให้ส่วนผสมเย็นแล้วจึงนำไปทาบนเนื้อเค้ก
- ส่วนผสม 1 แป้งเค้ก 45 กรัม
ผงฟู 1/4 ช้อนชา
น้ำตาลทรายป่น 27 กรัม
เกลือ 1/8 ช้อนชา - ส่วนผสม 2 ไข่แดงเบอร์สอง 2 ฟอง
กะทิ 16.5 กรัม
น้ำมันพืช 16.5 กรัม
น้ำมะพร้าว 12 กรัม - ส่วนผสม 3 ไข่ขาวเบอร์สอง 2 ฟอง
ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/8 ช้อนชา
น้ำตาลทรายป่น 27 กรัม
วิธีทำ
- ร่อนแป้งเค้ก ผงฟู เกลือ น้ำตาลป่นเข้าด้วยกัน พักไว้
- ในชามอีกใบผสมไข่แดง น้ำมันพืช กะทิ น้ำมะพร้าว ตีให้พอเข้ากัน เทส่วนผสมที่ 2 ลงในส่วนผสมที่ 1 คนให้ส่วนผสมเข้ากันดี พักไว้
- ใน ชามที่สะอาดตีไข่ขาวกะครีมออฟทาร์ทาร์ให้เป็นฟอง จากนั้นค่อยๆทะยอยใส่น้ำตาลป่นลงไป ตีไข่ขาวให้ขึ้นฟูตั้งยอดอ่อน แบ่งส่วนผสมไข่ขาวออกเป็น 3 ส่วน นำไข่ขาวลงไปตะล่อมกะส่วนผสม 1+2 อย่างเบามือทีละส่วน ทำแบบนี้จนหมดไข่ขาว
- เท ส่วนผสมที่ได้ลงในพิมพ์ขนาด 1 ปอนด์ กระแทกพิมพ์ 1 ครั้ง นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 C อบด้วยไฟล่าง นาน 15-20 นาที พอสุกแล้วนำออกจากเตา กระแทกพิมพ์แรงๆ 1 ครั้งๆ นำเค้กออกจากพิมพ์ พักไว้ให้เย็น
ส่วนผสมไส้ครีมมะพร้าวอ่อน
นม ข้นจืด 62.5 กรัม กะทิ 62.5 กรัม น้ำมะพร้าวอ่อน 75 กรัม น้ำตาล 25 กรัม แป้งกวนไส้ 15 กรัม เกลือ 1/8 ช้อนชา เนยสด 15 กรัม เนื้อมะพร้าวอ่อน 1 ลูกนำ นมข้นจืด กะทิ น้ำมะพร้าวอ่อน น้ำตาล แป้งกวนไส้ เกลือ ใส่ชาม คนให้เข้ากัน นำขึ้นตั้งไฟแบบ double-boiling คนส่วนผสมไปในทางเดียวกันตลอดเวลา จนกระทั่งแป้งสุก ส่วนผสมข้น ยกลงจากเตา ใส่เนยกับเนื้อมะพร้าวอ่อนลงไปคนให้เข้ากัน พักไว้ให้ส่วนผสมเย็นแล้วจึงนำไปทาบนเนื้อเค้ก
สรรพคุรของตะไคร้หอม
น้ำตะไคร้หอม ดื่มง่าย ช่วยล้างพิษ
น้ำตะไคร้ให้คุณค่าทางสารอาหารมากทีเดียว เช่น วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา แคลเซียม-ฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟัน ส่วนคุณค่าทางยา ช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อได้ดี
น้ำตะไคร้ อาจไม่ใช่ตัวเลือกต้น ๆ ของหนุ่มสาวสมัยนี้ เวลากระหายน้ำ บ้างก็ว่าเหม็น บ้างก็ว่าดื่มยาก แต่รู้ไว้เถอะว่า ช่วยลดพิษของสารแปลกปลอมในร่างกาย ขับลมในลำไส้ทำให้เจริญอาหาร บำรุงสมองช่วยให้สมาธิดี รวมทั้งช่วยลดความดันโลหิต
สำหรับคอเหล้า นำตะไคร้ไปต้มกับน้ำใช้ดื่มแก้อาเจียน ใช้ต้นสดโขลกคั้นเอาน้ำดื่มแก้อาการเมา ในกรณีที่เมามาก ๆ วิธี้นี้ช่วยให้สร่างเมาเร็วขึ้น
มาถึงเมนูสุขภาพศุกร์นี้ กินดี ขอเสนอ น้ำตะไคร้หอม เพื่อสุขภาพ ใช้ส่วนผสมเพียง 3 อย่าง ได้แก่
ตะไคร้ 20 กรัม หรือ 1 ต้น
น้ำเชื่อม 15 กรัม หรือ 1 ช้อนคาว
น้ำเปล่า 240 กรัม หรือ 16 ช้อนคาว
วิธีทำ
นำตะไคร้มาล้างให้สะอาด หั่นเป็นท่อน ทุบให้แตก ใส่หม้อต้มกับน้ำให้เดือดกระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำจนเป็นสีเขียว สักครู่จึงยกลง กรองเอาตะไคร้ออก เติมน้ำเชื่อมชิมรสตามชอบ
น้ำตะไคร้ให้คุณค่าทางสารอาหารมากทีเดียว เช่น วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา แคลเซียม-ฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟัน ส่วนคุณค่าทางยา ช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อได้ดี
น้ำตะไคร้ อาจไม่ใช่ตัวเลือกต้น ๆ ของหนุ่มสาวสมัยนี้ เวลากระหายน้ำ บ้างก็ว่าเหม็น บ้างก็ว่าดื่มยาก แต่รู้ไว้เถอะว่า ช่วยลดพิษของสารแปลกปลอมในร่างกาย ขับลมในลำไส้ทำให้เจริญอาหาร บำรุงสมองช่วยให้สมาธิดี รวมทั้งช่วยลดความดันโลหิต
สำหรับคอเหล้า นำตะไคร้ไปต้มกับน้ำใช้ดื่มแก้อาเจียน ใช้ต้นสดโขลกคั้นเอาน้ำดื่มแก้อาการเมา ในกรณีที่เมามาก ๆ วิธี้นี้ช่วยให้สร่างเมาเร็วขึ้น
มาถึงเมนูสุขภาพศุกร์นี้ กินดี ขอเสนอ น้ำตะไคร้หอม เพื่อสุขภาพ ใช้ส่วนผสมเพียง 3 อย่าง ได้แก่
ตะไคร้ 20 กรัม หรือ 1 ต้น
น้ำเชื่อม 15 กรัม หรือ 1 ช้อนคาว
น้ำเปล่า 240 กรัม หรือ 16 ช้อนคาว
วิธีทำ
นำตะไคร้มาล้างให้สะอาด หั่นเป็นท่อน ทุบให้แตก ใส่หม้อต้มกับน้ำให้เดือดกระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำจนเป็นสีเขียว สักครู่จึงยกลง กรองเอาตะไคร้ออก เติมน้ำเชื่อมชิมรสตามชอบ
ดอกไม้ประจำชาติไทย
ดอกไม้ประจำชาติไทย
ดอกราชพฤกษ์คือดอกไม้ประจำชาติไทยครับ ดอกสีเหลืองเท่านนั้นครับ เพิ่มเติมข้อมูลจากทุกท่านครับ ว่าทำไมต้องเป็นราชพฤษกษ์
-----------------------------------------------
จากอดีตที่ผ่านมากว่า 50 ปี ทางราชการมีความพยายามหลายครั้งในการกำหนดให้มีสัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยเฉพาะการกำหนด ต้นไม้ และ ดอกไม้ ประจำชาติ เริ่มต้นที่กรมป่าไม้ได้ชักชวนให้ประชาชนสนใจต้นราชพฤกษ์หรือคูณมาตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2494
โดยรัฐบาลมีมติให้ถือวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันต้นไม้ประจำปีของชาติ (arbour day) มีการชักชวนให้ปลูกต้นไม้ที่มีประโยชน์ชนิดต่างๆ มากมาย ในขณะเดียวกันก็ได้มีการเสนอว่า ต้นราชพฤกษ์ น่าจะถือเป็นต้นไม้ประจำชาติ
กระทั่งในปี พ.ศ.2506 มีการประชุมเพื่อกำหนดสัญลักษณ์ต้นไม้และสัตว์ประจำชาติเป็นครั้งแรก โดยกรมป่าไม้ได้เสนอให้ ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูณ ไม้มงคลที่มีประโยชน์และรู้จักกันอย่างแพร่หลายเป็นต้นไม้ประจำชาติ
ปี พ.ศ.2530 มีการส่งเสริมให้ปลูกต้นราชพฤกษ์อีกครั้ง เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ โดยมีการส่งเสริมให้ปลูกต้นราชพฤกษ์ทั่วประเทศจำนวน 99,999 ต้น ทุกวันนี้จึงมีต้นราชพฤกษ์อยู่มากมายทั่วประเทศไทย
-----------------------
ปี พ.ศ.2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้นำเรื่องดังกล่าวกลับมาเสนออีกครั้ง และมีข้อสรุปเสนอให้มีการกำหนดสัญลักษณ์ประจำชาติ 3 สิ่งคือ ดอกไม้ สัตว์และสถาปัตยกรรม และการพิจารณาที่ผ่านมาเสนอให้กำหนดดอกไม้ประจำชาติคือ ดอกราชพฤกษ์ สัตว์ประจำชาติ คือ ช้างไทย และสถาปัตยกรรมประจำชาติคือ ศาลาไทย
-----------------------------------------------
จากอดีตที่ผ่านมากว่า 50 ปี ทางราชการมีความพยายามหลายครั้งในการกำหนดให้มีสัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยเฉพาะการกำหนด ต้นไม้ และ ดอกไม้ ประจำชาติ เริ่มต้นที่กรมป่าไม้ได้ชักชวนให้ประชาชนสนใจต้นราชพฤกษ์หรือคูณมาตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2494
โดยรัฐบาลมีมติให้ถือวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันต้นไม้ประจำปีของชาติ (arbour day) มีการชักชวนให้ปลูกต้นไม้ที่มีประโยชน์ชนิดต่างๆ มากมาย ในขณะเดียวกันก็ได้มีการเสนอว่า ต้นราชพฤกษ์ น่าจะถือเป็นต้นไม้ประจำชาติ
กระทั่งในปี พ.ศ.2506 มีการประชุมเพื่อกำหนดสัญลักษณ์ต้นไม้และสัตว์ประจำชาติเป็นครั้งแรก โดยกรมป่าไม้ได้เสนอให้ ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูณ ไม้มงคลที่มีประโยชน์และรู้จักกันอย่างแพร่หลายเป็นต้นไม้ประจำชาติ
ปี พ.ศ.2530 มีการส่งเสริมให้ปลูกต้นราชพฤกษ์อีกครั้ง เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ โดยมีการส่งเสริมให้ปลูกต้นราชพฤกษ์ทั่วประเทศจำนวน 99,999 ต้น ทุกวันนี้จึงมีต้นราชพฤกษ์อยู่มากมายทั่วประเทศไทย
-----------------------
ปี พ.ศ.2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้นำเรื่องดังกล่าวกลับมาเสนออีกครั้ง และมีข้อสรุปเสนอให้มีการกำหนดสัญลักษณ์ประจำชาติ 3 สิ่งคือ ดอกไม้ สัตว์และสถาปัตยกรรม และการพิจารณาที่ผ่านมาเสนอให้กำหนดดอกไม้ประจำชาติคือ ดอกราชพฤกษ์ สัตว์ประจำชาติ คือ ช้างไทย และสถาปัตยกรรมประจำชาติคือ ศาลาไทย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)